suntaree
วันพฤหัสบดีที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2554
หลักการใช้อักษรตัวพิมพ์ใหญ่ (Capitalization)
หลักการใช้อักษรตัวพิมพ์ใหญ่ (Capitalization)
1) ใช้กับชื่อคนและสถานที่
เช่น Mary Jane, London, Elizabeth Street, New South Wales,
the Great Barrier Reef, the Botanic Garden
2) ชื่อที่ใช้เรียกคนและภาษาของประเทศต่างๆ หรือบางคำที่เกี่ยวข้องที่ดึงมาจากคำเหล่านั้น
เช่น Australian, Greek, Mandarin, Englishman, Americanize
3) ชื่อของสถาบัน, สมาคม, องค์กร และ สมาพันธ์
เช่น the Institutional of TAFE, the Royal Embassy, the Department of Agriculture,
the Arts Museum
4) ชื่อของสถาบันทางศาสนา, สำนัก, นิกาย หรือ บุคคลที่เลื่อมใส
เช่น Catholic, Islam, Judaism, Taoism
5) องค์กรหรือสถาบันทางสังคม
เช่น the Polo Club, the Japanese Student Societies
6) ชื่อของเดือนและวันสำคัญต่างๆ
เช่น September, Songran Day, Boxing Day
7) ชื่อในรูปแบบที่ปรากฎออกมาเป็นนามธรรม
เข่น the Proof of Life, Oh Dear
8)ฉาญาหรือสมญานาม
เช่น a Blue in University sport
9) ชื่อของสิ่งอื่นๆที่ไม่เป็นส่วนตัว
เช่น the Flying Scotsman
10) คำโบราณ หรือคำที่เกี่ยวข้องกับประเพณีในสมัยเก่า
เช่น Chauvinistic, Guillotine
11) ชื่อที่เป็นเครื่องหมายทางการค้า
เช่น Hoover, Xerox, Sony หรือชื่อที่มีความสัมพันธ์กับผู้ผลิต เช่น Jaguar, Spitfire
ศัพท์ เฉพาะบางคำเช่นชื่อ ที่เป็นกรรมสิทธิ์หรือเจ้าของกิจการซึ่งปัจจุบันจะขึ้นต้นด้วยอักษร
ตัว พิมพ์เล็ก เช่น baby buggy, biro, jeep
12) ใช้กับคำขึ้นต้นที่เป็นตำแหน่ง
เข่น His Royal Highness the Prince of Wales, President Carter, Sir John Smith,
Lord Chief Justice, Lieutenant-Colonel, Vice-President
13) ใช้กับบุรุษสรรพนาม ” I ” และ คำอุทาน Oh.
14)ใช้กับคำที่เกี่ยวกับพระเจ้า
เข่น God, Father, Allah, Almighty
15) ใช้กับคำ ๆ แรกหรือคำอื่น ๆ ที่มีความสำคัญของชื่อหนังสือ หนังสือพิมพ์ ละคร
ภาพยนตร์ และรายการทางโทรทัศน์ ชื่อหัวข้อ และบทความต่าง ๆ
เช่น The Catcher in the Rye, Sense and Sensibility, Book of Common Prayer,
New Testament, The Courier Mail, Guide to the Use of the Dictionary
16) ใช้กับยุคสมัยและเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์
เช่น the Golden Ages, Early Minoan, the Renaissance, the Second World War
17) การแบ่งเวลาตามภูมิศาสตร์ ที่ไม่ใช่ตามแบบยุคทางโบราณคดี
เช่น Devonian, Palaeozoic (ไม่ใช้ใน neolithic)
18) ใช้ในการเขียนคำย่อที่มีหรือไม่มีเครื่องหมายมหัพภาค (Full stop) กำกับก็ได้
เช่น ASP, FAM., LCD
19) ใช้กับคำย่อที่บอกทิศทาง เช่น N., SE, NE หรือเมื่อต้องการบ่งชี้ถึงภูมิภาค
เช่น unemployment in the North
20) ใช้ขึ้นต้นบรรทัดของการเขียนกลอนในภาษาอังกฤษ
21) ใช้กับคำหรือชื่อเฉพาะอื่นๆได้ เช่น McDonald, O’Reilly เครื่องหมายการค้าและ
คำบางคำในภาษาต่างประเทศ
1) ใช้กับชื่อคนและสถานที่
เช่น Mary Jane, London, Elizabeth Street, New South Wales,
the Great Barrier Reef, the Botanic Garden
2) ชื่อที่ใช้เรียกคนและภาษาของประเทศต่างๆ หรือบางคำที่เกี่ยวข้องที่ดึงมาจากคำเหล่านั้น
เช่น Australian, Greek, Mandarin, Englishman, Americanize
3) ชื่อของสถาบัน, สมาคม, องค์กร และ สมาพันธ์
เช่น the Institutional of TAFE, the Royal Embassy, the Department of Agriculture,
the Arts Museum
4) ชื่อของสถาบันทางศาสนา, สำนัก, นิกาย หรือ บุคคลที่เลื่อมใส
เช่น Catholic, Islam, Judaism, Taoism
5) องค์กรหรือสถาบันทางสังคม
เช่น the Polo Club, the Japanese Student Societies
6) ชื่อของเดือนและวันสำคัญต่างๆ
เช่น September, Songran Day, Boxing Day
7) ชื่อในรูปแบบที่ปรากฎออกมาเป็นนามธรรม
เข่น the Proof of Life, Oh Dear
8)ฉาญาหรือสมญานาม
เช่น a Blue in University sport
9) ชื่อของสิ่งอื่นๆที่ไม่เป็นส่วนตัว
เช่น the Flying Scotsman
10) คำโบราณ หรือคำที่เกี่ยวข้องกับประเพณีในสมัยเก่า
เช่น Chauvinistic, Guillotine
11) ชื่อที่เป็นเครื่องหมายทางการค้า
เช่น Hoover, Xerox, Sony หรือชื่อที่มีความสัมพันธ์กับผู้ผลิต เช่น Jaguar, Spitfire
ศัพท์ เฉพาะบางคำเช่นชื่อ ที่เป็นกรรมสิทธิ์หรือเจ้าของกิจการซึ่งปัจจุบันจะขึ้นต้นด้วยอักษร
ตัว พิมพ์เล็ก เช่น baby buggy, biro, jeep
12) ใช้กับคำขึ้นต้นที่เป็นตำแหน่ง
เข่น His Royal Highness the Prince of Wales, President Carter, Sir John Smith,
Lord Chief Justice, Lieutenant-Colonel, Vice-President
13) ใช้กับบุรุษสรรพนาม ” I ” และ คำอุทาน Oh.
14)ใช้กับคำที่เกี่ยวกับพระเจ้า
เข่น God, Father, Allah, Almighty
15) ใช้กับคำ ๆ แรกหรือคำอื่น ๆ ที่มีความสำคัญของชื่อหนังสือ หนังสือพิมพ์ ละคร
ภาพยนตร์ และรายการทางโทรทัศน์ ชื่อหัวข้อ และบทความต่าง ๆ
เช่น The Catcher in the Rye, Sense and Sensibility, Book of Common Prayer,
New Testament, The Courier Mail, Guide to the Use of the Dictionary
16) ใช้กับยุคสมัยและเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์
เช่น the Golden Ages, Early Minoan, the Renaissance, the Second World War
17) การแบ่งเวลาตามภูมิศาสตร์ ที่ไม่ใช่ตามแบบยุคทางโบราณคดี
เช่น Devonian, Palaeozoic (ไม่ใช้ใน neolithic)
18) ใช้ในการเขียนคำย่อที่มีหรือไม่มีเครื่องหมายมหัพภาค (Full stop) กำกับก็ได้
เช่น ASP, FAM., LCD
19) ใช้กับคำย่อที่บอกทิศทาง เช่น N., SE, NE หรือเมื่อต้องการบ่งชี้ถึงภูมิภาค
เช่น unemployment in the North
20) ใช้ขึ้นต้นบรรทัดของการเขียนกลอนในภาษาอังกฤษ
21) ใช้กับคำหรือชื่อเฉพาะอื่นๆได้ เช่น McDonald, O’Reilly เครื่องหมายการค้าและ
คำบางคำในภาษาต่างประเทศ
วันจันทร์ที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2554
Capitalization and punctuations
สรุปการใช้เครื่องหมายต่างๆในภาษาอังกฤษ (Punctuation)
1)เครื่องหมาย full stop หรือ period ( . )
1.1) ใช้ในการจบประโยค ยกเว้นประโยคที่เป็นคำถามหรือประโยคอุทาน
เช่น – We will go for jogging tomorrow morning. After that we will have some-
lunch in the city.
1.2) ใช้ในคำย่อ
เช่น – etc. p.m. Sat.
2)เครื่องหมาย comma ( , )
2.1) ใช้ในการ แยกกลุ่มคำที่อยู่ในหมวดเดียวกันแต่จะถูกละหน้า and หรือ or
เช่น – My favorite fruit are strawberry, apple, papaya, pineapple and durian.
– You can choose fish, pork, beef or chicken for your main course.
2.2) ใช้ในการแยกกลุ่มคำหรืออนุประโยค
เช่น – If you concentrate and participate in class, take note and study hard-
before exam, you will not only pass but also get very good marks.
2.3) ใช้คั่นหน้าและหลังกลุ่มคำหรืออนุประโยคที่ขยายคำนามข้างหน้า
เช่น – The cityhall, which was built in 1853, will be reconstructed in next year.
2.4) ใช้คั่นระหว่างประโยคสองประโยคที่มี คำเชื่อม เช่น and, as, but, for, or
เช่น – I wanted to go to Fenny’s birthday party last night, but unfortunately-
I was busy with my work.
2.5) ใช้คั่นคำขึ้นต้นที่เป็นคำ, กลุ่มคำ, กริยา หรือกลุ่มคำที่เป็นกริยาช่วยที่ประยุกต์ใชักับประโยคทั้งประโยค
เช่น – As mentioned before, our organization will start the new management-
system next year.
– By the way, did you go to see “Blue” concert last night?
3) เครื่องหมาย colon ( : )
3.1) ใช้เพื่อแยกประโยคหลักเพื่อนำเข้าสู่กลุ่มคำที่อยู่ในหมวดหมู่นั้นที่เป็น ลำดับขั้นตอนหรือเป็นเหตุเป็นผล
เช่น – These are our company long-term goals: to spread our product in Asian-
market especially HongKong, Taiwan and China; and to increase 3 % in-
sale volume.
– You have only two choices: go to Chiang Mai with us; or stay home with-
your family.
3.2) ใช้เพื่อขยายกลุ่มคำหรืออนุประโยคกับประโยคหลัก ซึ่งเป็นการเขียนแบบเป็นทางการ
เช่น – The situation in Ethiopia is very serious: many people died because of starve.
4) เครื่องหมาย semicolon ( ; )
4.1) ในการคั่นประโยคสามารถใช้ semicolon แทนเครื่องหมาย comma ( , )
ได้หากประโยคนั้นมีเครื่องหมาย comma อยู่แล้ว
เช่น – He will follow through his aim; he will not care whatever the cost,
even it has effect on someone.
4.2) ใช้ในการเขียนที่เป็นทางการเพื่อคั่นระหว่างอนุประโยค2ประโยคที่ไม่มี
คำ เชื่อมแต่มีความหมายเกี่ยวเนื่อง
เช่น – It looks very cloudy today; it might rain soon.
5) เครื่องหมาย question mark (?)
5.1) ใช้วางท้ายสุดในประโยคคำถาม,
เช่น – Are you ready to go? Where have you been?
5.2) ใช้เฉพาะกับ วันเดือนปี เพื่อความสงสัย
เช่น – John Marston (?1575-1634)
6) เครื่องหมาย exclamation (!)
ใช้วางหลังประโยคเพื่อแสดงอาการ ตื่นเต้น ดีใจ โกรธ หรือ ตกใจ หรือประโยคคำสั่ง
เช่น – That’s so great!
– What! It’s impossible.
– Go to your bed!
7) เครื่องหมาย apostrophe (‘)
7.1) ใช้คู่กับ s เพื่อแสดงความเกี่ยวดองหรือเป็นเจ้าของ
เช่น – Jane’s coat
– Joe’s girlfriend
– my sister’s friend
7.2) เพื่อทำให้รูปแบบสั้นขึ้นโดยใช้ละแทนตัวอักษรหรือตัวเลขนั้น
เช่น – He’s (He is)
– You’re (You are)
– They’d (would)
– the summer of’ 99 (1999)
7.3) บางครั้งใช้กับ s เพื่อทำให้เป็นรูปพหูพจน์ต่อจากตัวอักษรย่อหรือตัวเลขย่อ
เช่น – lend me your r’s
– during 1980′s
8)เครื่องหมาย hyphen (-)
8.1) ใช้ในการผสมคำตั้งแต่ 2 คำขึ้นไป
เช่น – pipe-cleaner
– one-to-one
8.2) ใช้ในการสร้างคำใหม่จาก prefix (คำอุปสรรค) กับคำนามเฉพาะ
เช่น – pre-Neolism
– pro-European
8.3) ใช้คั่นระหว่างการเขียนเลขจำนวน 21 ถึง 99
เช่น – 69 sixty-nine
– 23 twenty -three
8.4)ใช้คั่นระหว่าง prefix ที่ลงท้ายด้วยสระซึ่งเป็นตัวเดียวกับคำขึ้นต้นของคำนามที่นำมาผสม
เช่น – co-ordinator
– pre-emption
8.5) ใช้เชื่อมคำๆเดียวที่อยู่ต่อกันระหว่างบรรทัด
เช่น – We may choose to withdraw and protect ourselves from pain.
9) เครื่องหมาย dash (–)
9.1) ใช้ในการเขียนอย่างไม่เป็นทางการ แทนเครื่องหมาย colon หรือ semicolon
เพื่อบ่งชี้ว่าข้อความที่ตามมานั้นเป็นบทสรุปจากข้อความที่กล่าวมาข้างหน้า
เช่น – Lucy looks very happy today and so do Paul-they are in love.
9.2) ใช้คั่นระหว่างคำวิจารณ์ หรือ ความคิดที่เพิ่มเติมในภายหลัง
เช่น – He knows every scope of this job— or he did it before.
10) เครื่องหมาย dots หรือ ellipsis (…)
ใช้เพื่อละความยาวของข้อความ มักจะเป็นข้อความที่อ้างอิงมาจากผู้อื่นหรือ
บท สนทนาที่มีความยาว
เช่น “Romance not only light a candle or bring home flowers, it builds
bridge of friendship, caring …to the arms of his or her eager love.”
( Yagel: 19, 1995)
11) เครื่องหมาย slash หรือ oblique ( / )
ใช้คั่นระหว่าง คำที่เสนอวิธีเลือกหรือกลุ่มคำ
เช่น – have a coffee/ tea /or orange juice
– shirt/ pants/ blouse/skirt
12) เครื่องหมาย quotation marks (‘ ‘, ” “)
12.1) ใช้ล้อมคำและเครื่องหมายในประโยค direct speech (คำพูดทางตรง)
เช่น – ‘What time will he arrive here?’ John asked.
– ‘Around 6.00 p.m.’ Kate replied.
12.2) ใช้เพื่อดึงดูดความสนใจว่าคำนั้น แปลกไปจากบริบท มักใช้ใน ข้อความที่เป็นแสลง
หรือ คำที่บ่งชี้ความตรงกันข้ามกัน (irony)
เช่น – People look stress and lifeless in the country named ‘land of smile’.
12.3) ใช้เน้นคำเฉพาะที่เป็นชื่อบทความ, หนังสือ, โคลงกลอน, ละครหรือการแสดง
เช่น – I am going to see ‘Shakespeare in love’.
– Hemmingway’s ‘The old man and the sea’
12.4) ใช้ล้อมข้อความอ้างอิงสั้นๆหรือคำพูด
เช่น – One way to build a good communication is ‘sharing motions that we-
favor ignoring’
12.5) หากเป็นคำอ้างอิงที่ซ้อนอยู่ในประโยคอ้างอิงจะมีลักษณะการใช้ดังต้อไปนี้
เช่น – ‘Have you any idea,’ he said, ‘where “Ryan Street” is?’
(หรือ)
“Have you any idea,” he said, “where ‘Ryan Street’ is?”
13) เครื่องหมาย brackets หรือ parentheses ( )
13.1) ใช้เพื่อแยกข้อมูลพิเศษ หรือ ข้อคิดเห็นเพิ่มเติม ภายในประโยคหรือท้ายประโยค
เช่น – Phi Phi Island (lies about 3 km from the mainland) comprises two islands.
– Kiwi now (originated from China) is a very famous fruit in NewZealand.
13.2) ใช้ล้อม การอ้างอิงไปยังหน้าอื่นของหนังสือ
เช่น – Body language is an important part of effective communication
(see next chapter).
13.3) ใช้ล้อมตัวเลข หรือ อักษรในข้อความ
เช่น – The main subjects in this chapter are (1) Strategic business unit-
(2) Strategic thinking process (3) Strategic evaluation.
1)เครื่องหมาย full stop หรือ period ( . )
1.1) ใช้ในการจบประโยค ยกเว้นประโยคที่เป็นคำถามหรือประโยคอุทาน
เช่น – We will go for jogging tomorrow morning. After that we will have some-
lunch in the city.
1.2) ใช้ในคำย่อ
เช่น – etc. p.m. Sat.
2)เครื่องหมาย comma ( , )
2.1) ใช้ในการ แยกกลุ่มคำที่อยู่ในหมวดเดียวกันแต่จะถูกละหน้า and หรือ or
เช่น – My favorite fruit are strawberry, apple, papaya, pineapple and durian.
– You can choose fish, pork, beef or chicken for your main course.
2.2) ใช้ในการแยกกลุ่มคำหรืออนุประโยค
เช่น – If you concentrate and participate in class, take note and study hard-
before exam, you will not only pass but also get very good marks.
2.3) ใช้คั่นหน้าและหลังกลุ่มคำหรืออนุประโยคที่ขยายคำนามข้างหน้า
เช่น – The cityhall, which was built in 1853, will be reconstructed in next year.
2.4) ใช้คั่นระหว่างประโยคสองประโยคที่มี คำเชื่อม เช่น and, as, but, for, or
เช่น – I wanted to go to Fenny’s birthday party last night, but unfortunately-
I was busy with my work.
2.5) ใช้คั่นคำขึ้นต้นที่เป็นคำ, กลุ่มคำ, กริยา หรือกลุ่มคำที่เป็นกริยาช่วยที่ประยุกต์ใชักับประโยคทั้งประโยค
เช่น – As mentioned before, our organization will start the new management-
system next year.
– By the way, did you go to see “Blue” concert last night?
3) เครื่องหมาย colon ( : )
3.1) ใช้เพื่อแยกประโยคหลักเพื่อนำเข้าสู่กลุ่มคำที่อยู่ในหมวดหมู่นั้นที่เป็น ลำดับขั้นตอนหรือเป็นเหตุเป็นผล
เช่น – These are our company long-term goals: to spread our product in Asian-
market especially HongKong, Taiwan and China; and to increase 3 % in-
sale volume.
– You have only two choices: go to Chiang Mai with us; or stay home with-
your family.
3.2) ใช้เพื่อขยายกลุ่มคำหรืออนุประโยคกับประโยคหลัก ซึ่งเป็นการเขียนแบบเป็นทางการ
เช่น – The situation in Ethiopia is very serious: many people died because of starve.
4) เครื่องหมาย semicolon ( ; )
4.1) ในการคั่นประโยคสามารถใช้ semicolon แทนเครื่องหมาย comma ( , )
ได้หากประโยคนั้นมีเครื่องหมาย comma อยู่แล้ว
เช่น – He will follow through his aim; he will not care whatever the cost,
even it has effect on someone.
4.2) ใช้ในการเขียนที่เป็นทางการเพื่อคั่นระหว่างอนุประโยค2ประโยคที่ไม่มี
คำ เชื่อมแต่มีความหมายเกี่ยวเนื่อง
เช่น – It looks very cloudy today; it might rain soon.
5) เครื่องหมาย question mark (?)
5.1) ใช้วางท้ายสุดในประโยคคำถาม,
เช่น – Are you ready to go? Where have you been?
5.2) ใช้เฉพาะกับ วันเดือนปี เพื่อความสงสัย
เช่น – John Marston (?1575-1634)
6) เครื่องหมาย exclamation (!)
ใช้วางหลังประโยคเพื่อแสดงอาการ ตื่นเต้น ดีใจ โกรธ หรือ ตกใจ หรือประโยคคำสั่ง
เช่น – That’s so great!
– What! It’s impossible.
– Go to your bed!
7) เครื่องหมาย apostrophe (‘)
7.1) ใช้คู่กับ s เพื่อแสดงความเกี่ยวดองหรือเป็นเจ้าของ
เช่น – Jane’s coat
– Joe’s girlfriend
– my sister’s friend
7.2) เพื่อทำให้รูปแบบสั้นขึ้นโดยใช้ละแทนตัวอักษรหรือตัวเลขนั้น
เช่น – He’s (He is)
– You’re (You are)
– They’d (would)
– the summer of’ 99 (1999)
7.3) บางครั้งใช้กับ s เพื่อทำให้เป็นรูปพหูพจน์ต่อจากตัวอักษรย่อหรือตัวเลขย่อ
เช่น – lend me your r’s
– during 1980′s
8)เครื่องหมาย hyphen (-)
8.1) ใช้ในการผสมคำตั้งแต่ 2 คำขึ้นไป
เช่น – pipe-cleaner
– one-to-one
8.2) ใช้ในการสร้างคำใหม่จาก prefix (คำอุปสรรค) กับคำนามเฉพาะ
เช่น – pre-Neolism
– pro-European
8.3) ใช้คั่นระหว่างการเขียนเลขจำนวน 21 ถึง 99
เช่น – 69 sixty-nine
– 23 twenty -three
8.4)ใช้คั่นระหว่าง prefix ที่ลงท้ายด้วยสระซึ่งเป็นตัวเดียวกับคำขึ้นต้นของคำนามที่นำมาผสม
เช่น – co-ordinator
– pre-emption
8.5) ใช้เชื่อมคำๆเดียวที่อยู่ต่อกันระหว่างบรรทัด
เช่น – We may choose to withdraw and protect ourselves from pain.
9) เครื่องหมาย dash (–)
9.1) ใช้ในการเขียนอย่างไม่เป็นทางการ แทนเครื่องหมาย colon หรือ semicolon
เพื่อบ่งชี้ว่าข้อความที่ตามมานั้นเป็นบทสรุปจากข้อความที่กล่าวมาข้างหน้า
เช่น – Lucy looks very happy today and so do Paul-they are in love.
9.2) ใช้คั่นระหว่างคำวิจารณ์ หรือ ความคิดที่เพิ่มเติมในภายหลัง
เช่น – He knows every scope of this job— or he did it before.
10) เครื่องหมาย dots หรือ ellipsis (…)
ใช้เพื่อละความยาวของข้อความ มักจะเป็นข้อความที่อ้างอิงมาจากผู้อื่นหรือ
บท สนทนาที่มีความยาว
เช่น “Romance not only light a candle or bring home flowers, it builds
bridge of friendship, caring …to the arms of his or her eager love.”
( Yagel: 19, 1995)
11) เครื่องหมาย slash หรือ oblique ( / )
ใช้คั่นระหว่าง คำที่เสนอวิธีเลือกหรือกลุ่มคำ
เช่น – have a coffee/ tea /or orange juice
– shirt/ pants/ blouse/skirt
12) เครื่องหมาย quotation marks (‘ ‘, ” “)
12.1) ใช้ล้อมคำและเครื่องหมายในประโยค direct speech (คำพูดทางตรง)
เช่น – ‘What time will he arrive here?’ John asked.
– ‘Around 6.00 p.m.’ Kate replied.
12.2) ใช้เพื่อดึงดูดความสนใจว่าคำนั้น แปลกไปจากบริบท มักใช้ใน ข้อความที่เป็นแสลง
หรือ คำที่บ่งชี้ความตรงกันข้ามกัน (irony)
เช่น – People look stress and lifeless in the country named ‘land of smile’.
12.3) ใช้เน้นคำเฉพาะที่เป็นชื่อบทความ, หนังสือ, โคลงกลอน, ละครหรือการแสดง
เช่น – I am going to see ‘Shakespeare in love’.
– Hemmingway’s ‘The old man and the sea’
12.4) ใช้ล้อมข้อความอ้างอิงสั้นๆหรือคำพูด
เช่น – One way to build a good communication is ‘sharing motions that we-
favor ignoring’
12.5) หากเป็นคำอ้างอิงที่ซ้อนอยู่ในประโยคอ้างอิงจะมีลักษณะการใช้ดังต้อไปนี้
เช่น – ‘Have you any idea,’ he said, ‘where “Ryan Street” is?’
(หรือ)
“Have you any idea,” he said, “where ‘Ryan Street’ is?”
13) เครื่องหมาย brackets หรือ parentheses ( )
13.1) ใช้เพื่อแยกข้อมูลพิเศษ หรือ ข้อคิดเห็นเพิ่มเติม ภายในประโยคหรือท้ายประโยค
เช่น – Phi Phi Island (lies about 3 km from the mainland) comprises two islands.
– Kiwi now (originated from China) is a very famous fruit in NewZealand.
13.2) ใช้ล้อม การอ้างอิงไปยังหน้าอื่นของหนังสือ
เช่น – Body language is an important part of effective communication
(see next chapter).
13.3) ใช้ล้อมตัวเลข หรือ อักษรในข้อความ
เช่น – The main subjects in this chapter are (1) Strategic business unit-
(2) Strategic thinking process (3) Strategic evaluation.
วันพฤหัสบดีที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2554
Types of the sentence
Sentence Pattern 1
- I like.
- She ate.
- He can.
- I see.
- Turtle walk.
Sentence Pattern2
- I like the dogs .
- I eat candy .
- I like to watching TV .
- He played football .
- We planted a tree.
Sentence Pattern3
- She is a human.
- He is a doctor.
- He became a beggar.
- She is a nurse.
- cat is a mammal.
Sentence Pattern4
- Math is hard.
- Snake can be dangerous.
- She is calm.
- I am a beautiful smile.
- He is a handsome.
Sentence Pattern5
- Student gives the teacher flower.
- Those sheep give the farmer good milk.
- He sold mas her white car.
- My father bought me some cookie.
- The teacher teach me about working.
วันจันทร์ที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2554
Headlines and signs
1. Charity event to raise funds for flood victims.
subject+infintive with to= Charity event will raise funds for flood victims.
2. Mudslide kills 10 in Krabi.
subject+present simple=Mudslide killed 10 in Krabi.
3. Women looking for Western husbands 'need legal advice'.
subject+present participle=Women is looking for Western husbands 'need legal advice'.
4.Water Still Rising.
subject+present participle=Water Still is Rising.
5.Plan to hire native English-speaking teachers.
subject+infintive with to=Plan will hire native English-speaking teachers.
คำย่อ
- CPR = cardiopulmonary resuscitation.
- GBC=General Border Committee.
- JBC=Joint Boundary Commission.
- ROH=regional operating headquarters.
- TFM=total facilities management.
- ERP= enterprise resource planning.
- BTSC=Bangkok Mass Transit System Ple.
- CSD= Crime Suppression Division.
วันพฤหัสบดีที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2554
Main Idea
- The private enterprise system is place system people are free to produce, buy and sell and start a new enterprise-business.
- The market is place exchange of goods and services by buyers and sellers.
- The market determines the price of products by investigate cost production and demand of consumers.
- A supermarket has a supply the equilibrium price for manager a problem of tomatoes has multitude.
- The Organization of the Petroleum Exporting Countries stopped sending oil to Western nations, so there was a shortage of gas and oil in many so countries looked for ways to use less gas and oil.
การใช้ Dictionary
การใช้ Dictionary
การ ใช้ Dictionary ง่าย ๆนะคะเราต้องรู้จักส่วนประกอบของ Dictionaryกันก่อนนะ ว่ามีกี่ส่วนประกอบ
คำตอบง่ายๆ มี 7 ส่วน ประกอบนั้นเอง
1. Headword is the first word of an entry in a dictionary. It is listed alphabetically. Headword คือ คำที่เราต้องการค้นหา หรือคำแรกที่ขึ้นต้นในหน้าที่เรากำลังค้นหานั้นเอง
2. Part of speech deseribes the function of the word, for example; noun, verb, adjective of adverb. Part of speech คือ ส่วนประกอบของคำในภาษาอังกฤษ เช่น คำนาม คำสรรพนาม กริยา กริยาวิเศษ ถ้าเราเปิดดูคำศัพท์เราก็จะรู้ว่าคำนั้น เป็นคำอะไร แล้วส่วนประกอบของคำเป็นอย่างไร
3. Pronunciation describes the way in which a word is pronounced. Pronunciation ก็คือการออกเสียง เวลาเราดู Dictionary เราสามารถดูได้ว่าคำนี้สามารถออกเสียงได้อย่างไร
4. Meaning informs a word or words mean including American and British English. Meaning informs คือ ความหมายของคำศัพท์ ว่าความหมายคืออะไร มีกี่ความหมาย คำศัพท์บางตัว มีหลายความหมายนะคะ นักศึกษาควรจำไว้
5. Sample sentence shows how to use a word in a sentence. Sample sentence คือ ตัวอย่างประโยคที่แสดงให้ดู
6. Idiom describes an expression whose meaning is different from the meaning of the individual words. Idiom describes คือสำนวนที่แสดงให้ดูว่าคำศัพท์นั้นสามารถนำมาสร้างเป็น สำนวนได้หรือไม่
7. Phrasal verb describes a verb that is formed from two or more words: a verb and a preposition such as go on, sit up, take off. Phrasal verb คือ วลี ที่สามารถนำมาสร้างเป็นคำได้ เช่น sit up, take off.
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)